Forth time for Fashion Webblog by Ditsa Wong
Forth time for Fashion Webblog by Ditsa Wong
วันนี้จะขอมาเขียนเรื่องดีไซน์เนอร์ของไทยน๊ะครับ
ดีไซนเนอร์ไทย ที่ประทับใจโดยหลัก ๆ ก็มีรุ่นเก่า ๆ ได้แก่
อันดับแรก
ต้องยกให้ Kai Boutique หรือพี่สมชาย แก้วทองเจ้าของห้องเสื้อ “ ไข่บูติค “
ดีไซเนอร์รุ่นแรก ๆ ของเมืองไทย ที่ดีไซน์ยังคงความอ่อนช้อย และงดงามสมความเป็นผู้หญิง ที่อ่อนหวานและดูดี พี่ไข่ ยังคงรักษามาตรฐานในการทำงาน และนิสัยที่ดี และมีผลงานออกมาสู่ตลาดตามภาวะ ไม่หวือหวา แต่คงความคลาสสิค และคงทนถาวรมาตลอด
http://www.designer.in.th/directory/%E0%B8%AA/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87
อันดับสอง
ขอยกให้ห้องเสื้อ Pichita เจ้าแม่ในดวงใจ คุณเจี๊ยบ “พิจิตรา บุญยรัตนพันธ์ “ เจ้าแม่แฟชั่นเก๋ไก๋ ดีไซน์หรูเทรนดี้ ดูเธอเป็นคนแกร่ง และเก่งอยู่ในตัวเอง มักมีผลงานดี ๆ เหนือความคาดหมายมาให้คนไทยได้ยลโฉมกันเสมอ ๆ รวมทั้งพักหลัง ๆ นี้จะเห็นเธอเริ่มออกแบบผ้าไทยให้เป็นสากลมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ( ขอนับถือด้านไอเดียจากหัวใจกูรูค่ะ )
อันดับสาม
จะเป็นของใครไม่ได้ นอกจากคุณภาณุ อิงคะวัต เจ้าของห้องเสื้อ Greyhound อันเก๋ไก๋ และลือลั่น เพราะเธอจะมีงานออกแบบมาโชว์ร่วมกับน้องรุ่นใหม่ ๆ เสมอมา
ทั้งงาน Bangkok fashion Week
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/living/20101021/358712/Diary-of-ELLE-Fashion-week-2010-:-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82.html
โดยส่วนใหญ่จะเล่นโทนขรึมขาว-ดำ เป็นหลัก
นอกจากจะเป็นเจ้าของห้องเสื้อเก๋ไก๋ ที่กล้ายังเป็นเจ้าของร้านอาหารชิคชิค ที่เป็นกึ่งร้านอาหาร กึ่งคาเฟ่ในตัวไปด้วย ไอเดียบรรเจิดจริง ๆคนนี้
วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนอ่ะครับ เดี๋ยวมากไปคนอ่านเซ็งแย่เลย อิอิ !!
ปล. มีข้อคิดมาฝากก่อนปิดฉากน๊ะครับ
คนเราทุกวันนี้ชอบเอาสิ่งชั่วร้ายในตัวออกมาแสดง ทำให้โลกร้อนขึ้นจากความเห็นแก่ตัวของคน คิดแต่สิ่งร้าย ๆ จ้องจะหักหลังและทำลายคนอื่น ๆ
จึงทำให้เกิดภาวะทำลายล้างในตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งจากพลังที่ออกมาในแง่ลบนี้
ทำให้คนใช้ชีวิตในทางที่ผิด จึงทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และทำลายตัวเอง
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสให้เข้ามามองในตัวเองมากกว่ามองออกไปข้างนอก
นั่นหมายถึงให้ทุกคนเข้ามากราบตัวเองได้ ลดความเห็นแก่ตัว และเอื้อเฟ้อซึ่งกันและกัน แต่คนทุกวันนี้เป็นสังคมเสพย์ มากกว่าสังคมการผลิต ดังนั้นความคิด การใช้ชีวิต จึงออกมาทำลายล้างกันเอง
โลกจึงลงโทษด้วยภัยธรรมชาติ หรือภาวะที่แปรปรวนของธรรมชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพลังของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาทำลายกันเองมากกว่า........
**อาจจะยาวไปหน่อย แต่คงทำให้ทุกคนมีความคิดที่บวกขึ้นมาได้ และทำให้โลกนี้น่าอยู่มากกว่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องไปหาโลกใหม่อยู่....โดยสิ้นเปลือง และไร้สาระ...คุณว่ามั๊ย