บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

Forth time for Fashion Webblog by Ditsa Wong

" Have a nice wekkend for YOU all !!
Forth time for Fashion Webblog by Ditsa Wong
Forth time for Fashion Webblog by Ditsa Wong

วันนี้จะขอมาเขียนเรื่องดีไซน์เนอร์ของไทยน๊ะครับ
ดีไซนเนอร์ไทย  ที่ประทับใจโดยหลัก ๆ ก็มีรุ่นเก่า ๆ ได้แก่

อันดับแรก
ต้องยกให้ Kai Boutique หรือพี่สมชาย แก้วทองเจ้าของห้องเสื้อ ไข่บูติค
ดีไซเนอร์รุ่นแรก ๆ ของเมืองไทย  ที่ดีไซน์ยังคงความอ่อนช้อย และงดงามสมความเป็นผู้หญิง ที่อ่อนหวานและดูดี  พี่ไข่ ยังคงรักษามาตรฐานในการทำงาน  และนิสัยที่ดี และมีผลงานออกมาสู่ตลาดตามภาวะ  ไม่หวือหวา  แต่คงความคลาสสิค และคงทนถาวรมาตลอด

          http://www.designer.in.th/directory/%E0%B8%AA/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87

อันดับสอง
ขอยกให้ห้องเสื้อ  Pichita  เจ้าแม่ในดวงใจ  คุณเจี๊ยบ พิจิตรา บุญยรัตนพันธ์ เจ้าแม่แฟชั่นเก๋ไก๋ ดีไซน์หรูเทรนดี้  ดูเธอเป็นคนแกร่ง และเก่งอยู่ในตัวเอง  มักมีผลงานดี ๆ เหนือความคาดหมายมาให้คนไทยได้ยลโฉมกันเสมอ ๆ  รวมทั้งพักหลัง ๆ นี้จะเห็นเธอเริ่มออกแบบผ้าไทยให้เป็นสากลมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ( ขอนับถือด้านไอเดียจากหัวใจกูรูค่ะ )

อันดับสาม
จะเป็นของใครไม่ได้ นอกจากคุณภาณุ อิงคะวัต เจ้าของห้องเสื้อ Greyhound อันเก๋ไก๋ และลือลั่น  เพราะเธอจะมีงานออกแบบมาโชว์ร่วมกับน้องรุ่นใหม่ ๆ เสมอมา 
ทั้งงาน Bangkok fashion Week 
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/living/20101021/358712/Diary-of-ELLE-Fashion-week-2010-:-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82.html 

โดยส่วนใหญ่จะเล่นโทนขรึมขาว-ดำ เป็นหลัก
นอกจากจะเป็นเจ้าของห้องเสื้อเก๋ไก๋ ที่กล้ายังเป็นเจ้าของร้านอาหารชิคชิค ที่เป็นกึ่งร้านอาหาร กึ่งคาเฟ่ในตัวไปด้วย ไอเดียบรรเจิดจริง ๆคนนี้

วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนอ่ะครับ  เดี๋ยวมากไปคนอ่านเซ็งแย่เลย อิอิ !!

ปล. มีข้อคิดมาฝากก่อนปิดฉากน๊ะครับ
คนเราทุกวันนี้ชอบเอาสิ่งชั่วร้ายในตัวออกมาแสดง  ทำให้โลกร้อนขึ้นจากความเห็นแก่ตัวของคน  คิดแต่สิ่งร้าย ๆ จ้องจะหักหลังและทำลายคนอื่น ๆ
จึงทำให้เกิดภาวะทำลายล้างในตัวเองอยู่แล้ว  ซึ่งจากพลังที่ออกมาในแง่ลบนี้
ทำให้คนใช้ชีวิตในทางที่ผิด  จึงทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และทำลายตัวเอง

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสให้เข้ามามองในตัวเองมากกว่ามองออกไปข้างนอก
นั่นหมายถึงให้ทุกคนเข้ามากราบตัวเองได้ ลดความเห็นแก่ตัว  และเอื้อเฟ้อซึ่งกันและกัน  แต่คนทุกวันนี้เป็นสังคมเสพย์  มากกว่าสังคมการผลิต  ดังนั้นความคิด  การใช้ชีวิต จึงออกมาทำลายล้างกันเอง

โลกจึงลงโทษด้วยภัยธรรมชาติ  หรือภาวะที่แปรปรวนของธรรมชาติ  ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพลังของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาทำลายกันเองมากกว่า........
**อาจจะยาวไปหน่อย  แต่คงทำให้ทุกคนมีความคิดที่บวกขึ้นมาได้  และทำให้โลกนี้น่าอยู่มากกว่านี้  โดยไม่จำเป็นต้องไปหาโลกใหม่อยู่....โดยสิ้นเปลือง และไร้สาระ...คุณว่ามั๊ย